การประหารชีวิตซัดดัม ฮุสเซน มีขึ้นในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2549 (วันแรกของอีดิลอัดฮา) ซัดดัมถูกตัดสินประหารชีวิตโดยแขวนคอ หลังพบว่ามีความผิดจริงและถูกพิพากษาฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โดยคณะตุลาการอาญาสูงสุดอิรัก ในการฆาตกรรมชาวอิรักชีอะฮ์ 148 คนในเมืองดูเญล เมื่อ พ.ศ. 2525 เพื่อเป็นการแก้แค้นต่อความพยายามลอบสังหารตัวเขา
ซัดดัม ฮุสเซนเป็นประธานาธิบดีอิรักตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2522 ถึง 9 เมษายน พ.ศ. 2546 เมื่อเขาพ้นจากตำแหน่งระหว่างการรุกรานอิรัก พ.ศ. 2546 โดยกำลังผสมพันธมิตรนำโดยสหรัฐ หลังการจับกุมตัวซัดดัมในอัดดาวร์ ใกล้ติกรีตเมืองเกิดของเขา เขาถูกกักขังที่ค่ายครอปเปอร์ และถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2549 เขาถูกนำตัวไปยังเรือนจำเพื่อประหารชีวิต รัฐบาลอิรักออกวิดีโอเทปการประหารชีวิตเขาอย่างเป็นทางการ แสดงภาพเขากำลังถูกนำไปยังตะแลงแกง และจบลงหลังศีรษะของเขาอยู่ในห่วงเพชฌฆาต การโต้แย้งสาธารณะระหว่างประเทศมีขึ้นเมื่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ไม่ได้รับอนุญาตบันทึกการแขวนคอ แสดงภาพเขาตกลงไปผ่านประตูกลของตะแลงแกง บรรยากาศอันไม่เป็นมืออาชีพและไม่ให้เกียรติของการประหารชีวิตเรียกข้อโต้แย้งทั่วโลกจากชาติซึ่งทั้งคัดค้านและสนับสนุนโทษประหารชีวิต วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ศพของเขาถูกนำกลับไปอัลเอาว์ญา สถานที่เกิดของเขา ใกล้กับติกรีต และถูกฝังใกล้หลุมศพของสมาชิกครอบครัวคนอื่นของเขา ศพของซัดดัมไม่เคยถูกแสดง
ซัดดัมถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอเมื่อเวลาประมาณ 6.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (03:00 GMT) ของวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นวันที่ชาวอิรักซุนนีย์เริ่มเฉลิมฉลองอีดัลอัดฮา รายงานไม่ตรงกันเกี่ยวกับเวลาที่แน่ชัดของการประหารชีวิต บ้างรายงานว่า 6.00 น., 6.05 น. หรือบ้างก็ว่า 6.10 น. การประหารชีวิตมีขึ้นในฐานทัพร่วมอิรัก-อเมริกัน ค่ายจัสติส ตั้งอยู่ในคาซิเมน ชานเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงแบกแดด ค่ายจัสติสเดิมซัดดัมใช้เป็นกองบัญชาการข่าวกรองทางทหารของเขา ซึ่งในขณะนั้นรู้จักกันในชื่อ ค่ายบันไซ ที่ซึ่งพลเรือนอิรักถูกนำตัวมาทรมานและประหารชีวิตบนตะแลงแกงเดียวกันนี้ โดยขัดต่อรายงานเบื้องต้น ซัดดัมถูกประหารชีวิตแต่เพียงผู้เดียว มิใช่พร้อมกับจำเลยร่วมบาร์แซน อิบราฮิม อัล-ตีกริติ และอาวัด ฮาเหม็ด อัล-บันเดอร์ ซึ่งถูกประหารชีวิตในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2550
ศพของซัดดัมถูกฝังในอัลเอาว์ญา สถานที่เกิดของเขาในติกริต ประเทศอิรัก ใกล้กับสมาชิกครอบครัวของเขา รวมทั้งบุตรชายทั้งสอง อูเดย์และคูเซย์ ฮุสเซน เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม เมื่อเวลา 4.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (01:00 GMT) ศพของเขาถูกเคลื่อนย้ายไปยังติกริตโดยเฮลิคอปเตอร์ทหารสหรัฐ เขาถูกฝังห่างจากบุตรชายทั้งสองของเขาสามกิโลเมตรในสุสานเดียวกัน บุตรสาวคนโตสุดของซัดดัม รากัด ฮุสเซน ซึ่งอยู่ในระหว่างลี้ภัยในจอร์แดน ได้ร้องขอให้ "ฝังศพเขาในเยเมนชั่วคราวจนกระทั่งอิรักถูกปลดปล่อยแล้วค่อยนำไปฝังใหม่ในอิรัก" โฆษกตระกูลกล่าวผ่านโทรศัพท์
ปฏิกิริยาเสียชีวิตของซัดดัมนั้นมีหลากหลาย บ้างสนับสนุนการประหารชีวิตอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นการส่วนตัวต่อพฤติการณ์ของซัดดัมสมัยเป็นผู้นำอิรัก เหยื่อเหล่านี้บ้างต้องการให้เขาถูกนำตัวพิจารณาสำหรับพฤติการณ์อื่น โดยอ้างว่าส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตจำนวนมากกว่าพฤติการณ์ที่เขาถูกตัดสินนัก บ้างเชื่อว่าการประหารชีวิตจะเพิ่มขวัญกำลังใจในอิรัก ขณะที่บ้างเกรงว่าอาจจุดประกายความขัดแย้งเพิ่มขึ้น หลายประเทศสนับสนุนการนำตัวซัดดัมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่คัดค้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้โทษประหารชีวิต ซึ่งขณะนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้วในยุโรปส่วนใหญ่ อเมริกาใต้ แคนาดา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ผู้สนับสนุนซัดดัมประณามการประหารชีวิตนี้ว่าไร้ความยุติธรรม
โฆษกหญิงประจำตัวบุตรสาวของซัดดัมรายงานว่า "พวกเขารู้สึกภูมิใจมากที่เห็นบิดาของตนเผชิญหน้ากับเพชฌฆาตอย่างกล้าหาญ" ในอัมนาน เมืองหลวงของจอร์แดน รากัด ฮุสเซน บุตรสาวคนโตสุดของซัดดัม เข้าร่วมการประท้วงต่อต้านการประหารชีวิตบิดาของเธอ ผู้ประท้วงแสดงอารมณ์ว่าซัดดัมเป็นมรณสักขีและเขาเป็นเพียงผู้นำอาหรับเพียงคนเดียวที่ปฏิเสธสหรัฐอเมริกา มุสลิมชีอะฮ์ในอิรักเฉลิมฉลองประหารชีวิต ขณะที่มุสลิมซุนนีย์ประท้วง
หลังการประหารชีวิตซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำหลายประเทศได้ออกแถลงการณ์ โดยผู้นำอินเดีย กัมพูชา ศรีลังกา บราซิลและเวเนซุเอลาแสดงการคัดค้านการประหารชีวิต ผู้นำและรัฐบาลหลายประเทศทวีปยุโรปยังแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างแข็งขันในการใช้โทษประหารชีวิตในทุกกรณี ซึ่งมีทั้งออสเตรีย เดนมาร์ก ฟินแลนด์ เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์และสหราชอาณาจักร
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/การประหารชีวิตซัดดัม_ฮุสเซน